นายเอกภัท เตมียเวส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ เตมียเวส กรุ๊ป และประธานกรรมการ บริษัท สวีท มีท (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชยี่ห้อ เพลิน เปิดเผยว่า ในช่วงเดือน ม.ค-ก.พคำพูดจาก ทดลองเล่นสล็อตทุกค่ายไม่ต้องสมัคร. 66 นี้ คาดว่าตลาดน้ำมันพืชปาล์มมีโอกาสปรับขึ้นราคาไปถึงขวดละ 70 บาท อีกครั้ง จากปัจจุบันราคาเริ่มปรับลดลงมาอยู่ที่ประมาณขวดละ 45-48 บาท โดยสาเหตุหลักมาจากนอกฤดูกาลผลผลิตปาล์มในช่วงปลายปีนี้ ส่งผลให้ขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตช่วงต้นปีหน้า ประกอบกับนโยบายรัฐบาล ซึ่งหากให้นำปาล์มไปผลิตเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้ปาล์มขาดตลาดคำพูดจาก เว็บสล็อตทดลองเล่น
“จากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในช่วงช่วงกลางปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณน้ำมันพืชไม่เพียงพอต่อความต้องการแล้ว ยังเกิดความผันผวนในด้านราคา ส่งผลให้ราคาขยับสูงขึ้นไปถึงขวดละ 65-70 บาท และหลังจากสถานการณ์เริ่มผ่อนคลายลง ทำให้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ ราคาน้ำมันปาล์มเริ่มปรับลดลงและนิ่งขึ้นอยู่ที่ขวดละ 45-48 บาท จากตลาดรวมน้ำมันพืชปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 70% และน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ 30% ซึ่งเติบโตได้ต่อเนื่องตามทิศทางอุตสาหกรรมอาหาร หลังจากโควิดเริ่มคลี่คลายทำให้ร้านอาหาร โรงแรมต่างๆ เปิดให้บริการได้ตามปกติส่งผลให้การบริโภคที่มากขึ้นด้วย”
ทั้งนี้ จึงส่งผลให้บริษัทวางแผนเร่งสร้างการเติบโตมากขึ้น โดยเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 40% เน้นขยายในยุโรปมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและต้นทุนของน้ำมันพืชแต่ละประเภท จากปัจจุบันมีสัดส่วนส่งออก 20% ในกลุ่มประเทศแถบเอเชียและกลุ่มซีแอลเอ็มวี อาทิ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย เมียนมา ลาว และกัมพูชา รวมทั้งประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี รวมไปถึงการทำตลาดในประเทศอย่างจริงจัง ทั้งการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ผ่านกิจกรรมการตลาดต่างๆ โดยตั้งเป้าหมายปี 66 มียอดขายเติบโต 30% มูลค่า 3,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีนี้ คาดว่ามียอดขาย 1,200 ล้านบาท
นายเอกภัท กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตน้ำมันพืชอยู่ที่จังหวัดชลบุรี โดยมีกำลังการผลิตชนิดขวดเฉพาะขนาด 1 ลิตร ได้สูงถึง 7,200,000 ขวดต่อเดือน ซึ่งขณะนี้ยังสามารถรองรับกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นในปี 66 ได้อย่างแน่นอน หลังจากบริษัทเริ่มเดินเครื่องผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชเพลินครั้งแรกเมื่อปี 61 มียอดขาย 44 ล้านบาท ในปี 62 มียอดขาย 46 ล้านบาท และก้าวกระโดดขึ้นเป็น 200 ล้านบาท ในปี 63 และมียอดขาย 750 ล้านบาท ในปี 64 จนกระทั่งในปี 65 นี้ คาดว่ามียอดขายสูงถึง 1,200 ล้านบาท